Julian Draxler (จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์)
จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ อดีตเพลย์เมกเกอร์ดีกรีชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 ที่เคยเนื้อหอมมาก ๆ ในช่วงเวลานั้น มีทีมใหญ่หลายทีมต้องการดึงเขาไปร่วมทีมซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นยักษ์ใหญ่แห่งเมืองฝรั่งเศสอย่างทีม Paris Saint-Germain มาคว้าตัวไป แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีเขาก็กลายเป็นนักเตะในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ที่แทบจะถูกลืมเลือนไปจากวงการฟุตบอลเลยก็ไม่ผิดถึงแม้ว่าจะได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวหลักอยู่บ้างในฤดูกาล 2017-2018 และ 2018-2019 แต่ผู้เล่นดีกรีทีมชาติแถมยังอยู่ในวัยหนุ่มที่อายุการใช้งานยังล้นเหลือแบบนี้นั้น ยังถือว่ายังไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวหลักของทีมได้เท่าทีควรจนเหมือนกับว่า จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เป็นกำลังเสริมของผู้เล่นตัวหลักเสียมากกว่า เรามาดูกันว่าก่อนที่ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ จะมาอยู่ในสถานภาพที่เป็นอยู่นี้นั้น เขาผ่านอะไรมาบ้างในอดีต ไปดูกันเลย


ครอบครัวและวัยเด็ก
จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1993 ที่ Gladbeck เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของ Rhine Westphalia ประเทศเยอรมัน มีบิดาชื่อว่า ฮาน-เจอร์เก้น แดร็กซ์เลอร์ ที่เคยเป็นอดีตนักฟุตบอล และมีมารดาชื่อว่า โมนิก้า แดร็กซ์เลอร์
ฮาน-เจอร์เก้น แดร็กซ์เลอร์ นั่นเคยเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพมาก่อนเขาจึงได้ส่งทอดความชอบในเรื่องฟุตบอลมาถึงลูกชาย ซึ่งปัจจุบันนี้เขายังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของลูกชายของเขาเองด้วย และด้วยที่เมืองที่ จูเลี่ยน เติบโตมานั้นเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมถ่านหินมีมีความต้องการสูงในระบบอุตสาหกรรม มีแรงงานต่างประเทศเข้ามาประกอบอาชีพเป็นจำนวนมาก และฐานะทางบ้านของเขาก็ค่อนข้างมั่นคงจากธุรกิจโดยรวมของเมืองนี้


จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เริ่มสนใจฟุตบอลเมื่อตอนที่ครอบครัวของเขาพาไปดูฟุตบอลที่สนามของทีม Schalke 04 ซึ่งหลังจากที่เขามีอายุโตพอที่จะเข้าทดสอบฝีเท่า จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็ได้เข้าไปทดสอบฝีเท้ากับทีมดังกล่าวทันที แม้จะมีความชื่นชอบในฟุตบอลมากแต่ก็ใช้ว่าจะเป็นเด็กคนเดียวที่เข้าทดสอบฝีเท้าในวัยนุ่นราวคราวเดียวกัน จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ไม่ผ่านการทดสอบฝีเท้ากับทีมดังกล่าวจึงได้เลือกไปทดสอบกับสโมสรที่มีชื่อเสียงรองลงมาซึ่งก็คือ BV Rentfort ด้วยวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น
ระดับเยาวชน
จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ อยู่ฝึกฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ BV Rentfort เป็นเวลา 2 ปี โดยที่เขานั้นถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีความแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความเร็วและความกระหายในชัยชนะทั้งในสนามหญ้าหรือแม้แต่ในสนามที่เป็นพื้นทราย เขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอย่างเป็นทางการของทีม BV Rentfort อย่างรวดเร็วในวัยเพียง 7 ปี
SSV Buer 07/28 ได้ซื้อตัว จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ มาร่วมทีมในปี 2000 ซึ่งถือว่าเป็นสะพานเส้นแรกให้กับเจ้าหนู จูเลี่ยน ที่จะก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพดังที่หวังไหว ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเพราะหลังจากอยู่กับทีมเยาวชนของ SSV Buer 07/28 เพียงปีเดียว Schalke 04 ทีมที่เคยปฏิเสธเขาก็มาติดต่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุดและได้เซ็นสัญญากับนำเตะอนาคตไกลรายนี้ในที่สุด
ระดับอาชีพ
จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เปิดตัวบุนเดสลีกาครั้งแรกในวันที่ 15 มกราคม 2011 ในเกมที่ทีมราชันสีน้ำเงินของเขาแพ้ 0 ประตูต่อ 1 ให้กับทีมดังอย่าง Hamburger SV ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้นซึ่งเป็นสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดอันดับ 4 ในบุนเดสลีกา และหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ต่อมา จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็สร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองอีกครั้งโดยในเกมที่ทีมเปิดบ้านเอาชนะ Hannover 96 ไป 1-0 ซึ่งเขาเป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีม ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่ยิงประตูได้ในบุนเดสลีกา เป็นรองเพียง Nuri Şahin ดาวเตะเชื้อสายตุรกีที่ครองอันดับหนึ่ง
สโมสร Schalke 04 ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่บ่มเพาะนักเตะชั้นดีออกสู่วงการฟุตบอลมากมาย ฤดูกาลแรกของ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ จบลงด้วยการมีส่วนช่วยพาทีม Schalke 04 คว้าแชมป์ DFB-Pokal ซึ่งในนัดชิงที่ทีมพบกับ MSV Duisburg จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เป็นผู้ยิงประตูเบิกร่องให้ทีมตั้งแต่ 18 นาทีแรก และจบเกมด้วยผลชนะถึง 5 ประตูต่อ 0 เป็นแชมป์แรกของ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ในปีแรกที่ขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศ

จากฤดูกาลแรกที่ได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริง 15 เกมในฐานะนักเตะดาวรุ่ง แต่ใน 3 ฤดูกาลต่อมา จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม Schalke 04 อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะฤดูกาลที่ 2013-2014 ฤดูกาลที่ 4 ของเขานั้น จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็คว้ารางวัล Bundesliga Young Player of the Year มาครองได้สำเร็จ
ความสามารถในการเล่นฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความปราดเปรียวว่องไวน่าตื่นตาตื่นใจ พ่วงรางวัลติดตัวมาแล้วด้วยแบบนี้แน่นอนว่าต้องถูกจับตามองจากทีมใหญ่ ๆ มากมายอย่างแน่นอน จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ มีข่าวได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ทั้งในบุนเดสลีกาเองอย่าง Bayern Munich และ Borussia Dortmund สองยักษ์ใหญ่ของลีก รวมไปถึงทีมจากต่างประเทศทั้งในพรีเมียร์ลีกอังกฤษและในลีกเอิงของฝรั่งเศส แต่ด้วยวัยที่ยังเป็นเพียงดาวรุ่งพุ่งแรงทำให้ยอดทีมต่าง ๆ ยังคงไม่กล้าเสี่ยงกับนักเตะที่เพิ่งแจ้งเกิดรายนี้ แต่ก็มีทีมหนึ่งที่สนใจและได้ดึงตัว จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ไปร่วมทีม
VfL Wolfsburg ทีมหมาป่าแห่งเมืองเบียร์คือทีมที่ซื้อตัว จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ไปด้วยค่าตัวที่ไม่เปิดเผย และก็มอบตำแหน่งตัวหลักให้กับเขาอย่างทันที แต่ฟอร์มโดยรวมของทีมที่ไม่ค่อยสู้ดี ฤดูกาล 2015-2016 ที่ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ย้ายมาร่วมทีมหมาป่าในช่วงพักเบรกนั้น ทีม Wolfsburg ทำคะแนนจบฤดูกาลได้เพียงอันดับที่ 8 ในขณะที่ Schalke 04 ต้นสังกัดเก่าของเขาจบฤดูกาลได้สูงกว่าในอันดับที่ 4 ซึ่งการที่ทีมหมาป่าแห่งเมืองเบียร์ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปก็เหมือนเปิดทางให้ทีมใหญ่ ๆ ทั่วยุโรปสบช่องโอกาสที่จะติดต่อซื้อตัวนะเตะรายนี้อีกครั้ง

แม้ในเวลานั้น จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ จะมีข่าวกับทีมในพรีเมียร์ลีกอยู่หนาหู แต่สุดท้ายทีมเจ้าบุญทุ่มแห่งลีกสูงสุดฝรั่งเศส Paris Saint-Germain ก็ยื่นข้อเสนอที่ยากจะบอกปัดให้กับทั้งทีมต้นสังกัดและตัว จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ทำให้ครึ่งฤดูกาลหลังของ 2016-2017 จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็ได้มาสวมเสื้อของทีมใหญ่แห่งเมืองน้ำหอม
มีดราม่าเรื่องการย้ายทีมของ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ จาก Schalke 04 ไปอยู่กับทีม VfL Wolfsburg ซึ่งทั่ง 2 ทีมนั้นเป็นอริกันอย่างมาก ทำให้แฟนบอลของทีมราชันสีน้ำเงินไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งคำให้สัมภาษณ์ของ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ที่ว่า “Wolfsburg เสนอโอกาสที่ยอดเยี่ยมให้กับผม และทีม Wolfsburg ก็แข็งแกร่งมาก ผมรอคอยที่จะได้เล่น UCL กับทีม Wolfsburg และแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งสูง ๆ ให้กับทีม” ซึ่งจากภายหลังที่เขาย้ายไปร่วมกับทีมหมาป่าแห่งเมืองเบียร์แล้ว แฟนบอลของ Schalke ก็ตั้งสมญานานให้เขาว่าเป็น “Judas” ที่แปลว่า “คนทรยศ”
แม้ว่าการย้ายทีมไปอยู่กับทีมคู่อริจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในฐานะนักฟุตบอล แต่ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ที่เคยถูกปลูกฝังในเรื่องทีมฟุตบอลคู่อริมาจากทีม Schalke 04 ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน ทำให้เมื่อมีคำถามจากสื่อกีฬาถึงความเป็นไปได้ที่จะย้ายไปร่วมทีม Borussia Dortmund ในอนาคต ซึ่ง เลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็ตอบสื่อกลับไปโดยไม่ลังเลว่า
“พวกเขาต้องล้างสมองผมเท่านั้น ผมถึงจะย้ายไปเล่นที่นั่น”
จากความโดดเด่นในด้านความเร็วและการเลี้ยงบอลที่ปราดเปรียวว่องไวทำให้ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ยึดตำแหน่งตัวรุกริมเส้นทางฝั่งซ้ายของทีมได้อย่างถาวร แม้จะมีการหมุนเวียนผู้เล่นอยู่บ้างในช่วงฤดูกาลแรก แต่ในฤดูกาลถัด ๆ มาโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงของเขาก็ลดน้อยลงเนื่องจากการมาของซุปเปอสตาร์ระดับโลกอย่าง Neymar และ Kylian Mbappé ทำให้ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ กลายมาเป็นตัวเลือกอันดับรองลงมาซึ่งในปัจจุบันนี้อยู่รองจาก Ángel Di María เพลย์เมกเกอร์ชาวอาร์เจนไตเสียด้วยซ้ำ

ฤดูกาลล่าสุด 2019-2020 แม้จะมีปัญหาผลกระทบจากเชื้อ Covid-19 ระบาดอยู่บ้างก็จริงอยู่ แต่ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็ได้รับโอกาสเป็นตัวจริงในเกมลีกเพียง 11 เกมเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อมองจากความสามารถและวัยที่เพิ่งจะ 26 ปี ทำให้หลายฝ่ายมองว่าในไม่ช้า จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ต้องเริ่มตั้งคำถามกับอนาคตของตัวเองที่เป็นอยู่นี้ในวันใดก็วันหนึ่ง
ระดับชาติ
ด้วยฝีเท้าคุณภาพสูงตั้งแต่ยังเด็กทำให้ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ มีชื่ออยู่ในทีมชาติเยอรมันตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยอยู่ในทีมชุด U-18, U-19, และ U-21 ไล่ขึ้นมาจนมีชื่ออยู่ในทีมชาติชุดใหญ่ในปี 2012 ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น ซึ่งทีมชาติเยอรมันในยุคนั้นถือเป็นยุคที่แข็งแกร่งมากเท่าที่เคยมีมาในตลอดหลายปี โดยผลงานในฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ทีมชาติเยอรมันชุดนี้คว้าแชมป์มาครองได้ถือเป็นรางวัลสูงสุดและ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ก็เป็นหนึ่งใน 23 ขุนพลของทีมชุดแชมป์โลกทีมนี้ด้วย แต่ด้วยตำแหน่งตัวผู้เล่นที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพโดยเฉพาะ 11 ตัวหลักของทีม ทำให้เขาได้รับโอกาสสร้างชื่อในเวทีฟุตบอลโลกน้อยมาก ซึ่งในวันที่ Mario Götze ยิงประตูชัยในนัดชิงฟุตบอลโลกครั้งนั้นได้ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ กลับถูกจดจำในฐานะนักฟุตบอลที่มีแฟนสาวที่หน้าหวานที่สุดในสนาม

ด้านความสัมพันธ์
ด้านความรัก จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เคยชอบพอกับเพื่อนในสมัยเด็กที่ชื่อว่า Lena Stiffel (เลน่า สติฟเฟล) ตั้งแต่พวกเขายังเรียนอยู่เกรด 5 ทั้งคู่ชอบฟุตบอลเหมือนกัน และมีนักเตะในดวงใจคนเดียวกัน ทั้ง 2 ครอบครัวนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ก่อนที่ จูเลี่ยน จะลืมตาขึ้นมาดูโลกเสียอีก พวกเขาทำกิจกรรมร่วมกันมาตลอดไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเทศกาลต่าง ๆ และในนัดชิงฟุตบอลโลกปี 2014 แฟนบอลทั้งโลกก็ได้ยลโฉมหน้าแฟนสาวหน้าหวานของ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ พร้อมกันผ่านการถ่ายทอดสดพิธีมอบเหรียญรางวัลและถ้วยฟุตบอลโลกในกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งในปี 2020 นั้นทั้งคู่ออกงานร่วมกันอีกครั้งก็พบความเปลี่ยนแปลงของ เลน่า มากพอสมควร เธอกลายเป็นสาวอวบเจ้าเนื้อกว่าแต่ก่อน แต่ว่าทั้งคู่ก็ยังคงรักกันดี

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนักเตะพรสวรรค์อีกคนที่ยังรอโอกาสก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับ Cristiano Ronaldo, Lionel Messi หรือ Naymar Jr. ด้วยอายุที่ยังหนุ่มแน่นต้องบอกว่าโอกาสยังคงเปิดกว้างมาก ก็คงต้องรอเชียร์ให้ จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ ระเบิดฟอร์มสุดยอดกับยอดทีมต้นสังกัดแห่งฝรั่งเศสให้ได้เสียที คงต้องตามดูกันต่อไปว่าเขาจะยังสู้รอโอกาสอยู่กับทีมต่อไปหรือว่าจะมีทีมใหญ่ทีมใดสนใจดึงเขาไปหาความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะเป็นสเปน
Top Player Story ในครั้งต่อไปจะเป็นใครโปรดรอติดตาม สวัสดีครับ